ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 6 ชั่วโมง ก่อนรับการตรวจสุขภาพ หากอดนอนจะทำให้ ผลการตรวจผิดปกติ โดยเฉพาะความดันโลหิต การเต้นของหัวใจ อุณหภูมิของร่างกาย (ค่าปกติของระดับความดันโลหิต คือ <=140/<=90 mmHg)
ภาวะความดันโลหิตสูงมักไม่มีอาการบ่งบอก ผู้ป่วยอาจไม่เคยรู้ตัวจนกระทั่งได้รับการตรวจ ความดันโลหิตเบื้องต้น การตรวจพบภาวะความดันโลหิตสูงและรับการรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ สามารถป้องกันการเกิดโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคไตเรื้อรัง รวมถึงโรคต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับตาได้
การตรวจเลือด สำคัญและจำเป็นในการดูแลสุขภาพ โดยเฉพาะการตรวจเลือด เพื่อหาโรคติดต่อ เช่น โรคเอดส์ โรคซิฟิลิส โรคเบาหวาน เป็นต้น การตรวจเลือด ทำให้เราได้ป้องกันและรักษาได้ทันท่วงที โดยเฉพาะโรคแฝงที่ไม่ได้แสดงอาการในระยะแรก เราจึงควรได้รับการตรวจเลือดอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
เพราะการตรวจเลือดนั้นช่วยให้ทราบสาเหตุการเกิดโรคต่าง ๆ ได้ เช่น การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (Complete Blood Count หรือ CBC), การตรวจระดับน้ำตาลในเลือด (FBS), การตรวจหาระดับไขมัน, การตรวจการทำงานของตับ และการตรวจการทำงานของไต ดังนี้
การเจาะเลือดเพื่อตรวจหาค่าระดับน้ำตาลในเลือดหลังการงดอาหารและเครื่องดื่มทุกชนิดมาแล้วอย่างน้อย 8 ชั่วโมง (แต่ดื่มน้ำเปล่าได้) ทั้งนี้เพื่อใช้เป็นข้อมูลบ่งชี้ปริมาณของกลูโคสในกระแสเลือด ณ ขณะนั้นอยู่ในระดับปกติ ต่ำกว่าปกติ หรือสูงกว่าปกติ การตรวจนี้จึงเป็นการตรวจที่ช่วยคัดกรองและวินิจฉัยผู้ที่มีอาการแสดงหรือมีปัจจัยเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานได้ (ค่าปกติ = 70-110 mg/dl)
การตรวจเพื่อให้ทราบค่าของระดับไขมันทุกตัวในกระแสเลือด เพราะการได้ทราบค่าระดับไขมันที่ผิดปกติตั้งแต่เนิ่น ๆ ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่าง ๆ ซึ่งการตรวจจะประกอบไปด้วยการวัดค่าระดับไขมัน Total cholesterol, Triglycerides, HDL และ LDL
การตรวจทางเคมีคลินิกในเลือดภายในห้องปฏิบัติการทางการแพทย์เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลที่เกี่ยวกับสถานะของตับของผู้รับการตรวจ โดยการตรวจการทำงานของตับมาตรฐานมักจะประกอบไปด้วย การตรวจ Albumin, Total bilirubin, AST (SGOT), ALT (SGPT) และ ALP (Alkaline phosphatase) ดังนี้
การตรวจดูสมรรถภาพการทำงานของไตได้จากการตรวจเลือดและการตรวจปัสสาวะ เพื่อดูความสามารถในการกรองของเสียออกจากเลือดของไต จะประกอบไปด้วยการตรวจ BUN และ Creatinine ดังนี้
ไวรัสตับอักเสบบีเป็นไวรัสชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด และเป็นไวรัสที่มีความรุนแรงมาก ซึ่งเป็นสาเหตุ
ที่นำไปสู่อาการตับแข็ง เกิดเป็นแผลถาวรที่ตับ กลายเป็นตับวายและโรคมะเร็งตับในที่สุด ไวรัสตับอักเสบบีเป็นไวรัสที่สามารถติดต่อได้ทางเลือด สารคัดหลั่ง การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน การมีเพศสัมพันธ์ และสามารถติดต่อ
จากแม่สู่ลูกขณะตั้งครรภ์ ในบางกรณีเชื้ออาจจะอยู่นิ่งเป็นปีๆ โดยผู้ที่มีเชื้อไม่ทราบว่าตนเองมีเชื้ออยู่ในร่างกาย เชื้อนี้สามารถแบ่งตัวได้อย่างรวดเร็วในเซลล์ตับ ซึ่งหากตรวจพบแต่เนิ่น ๆ จะทำให้ได้รับการรักษาที่เร็วขึ้นและลดการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น
เป็นโปรตีนที่อยู่บนผิวของเชื้อไวรัสตับอักเสบบี HBV จะพบโปรตีนนี้ในปริมาณที่ค่อนสูงสูงในผู้ป่วยที่เป็นไวรัสตับอักเสบเฉียบพลัน หรือเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง การพบโปรตีนนี้จะบ่งบอกว่าผู้นั้นยังสามารถแพร่สู่ผู้อื่นได้
การตรวจพบภูมิต่อเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ร่างกายสร้างภูมิต่อเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ซึ่งแสดงว่าร่างกายเริ่มจะหายจากโรคตับอักเสบ การพบภูมิต่อไวรัสตับอักเสบ บี ยังพบได้ในผู้ป่วยที่ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ
การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ EKG หรือ (Electrocardiogram) คือการตรวจความสมบูรณ์ของการทำงานไฟฟ้าหัวใจ เพื่อตรวจหาความผิดปกติ ที่อาจจะเกิดขึ้น หรือได้เกิดขึ้นไปแล้ว ซึ่งการตรวจหัวใจแบบ EKG นั้นสามารถนำไปเป็นส่วนหนึ่งในการวินิจฉัยโรคต่าง ๆ ที่มีผลต่อหัวใจได้ เช่น โรคหัวใจ เพราะมีผลกระทบ
ต่อการดำเนินชีวิตค่อนข้างมาก ดังนั้นการตรวจ EKG จึงเป็นทางเลือกที่ดี เพื่อให้มั่นใจว่าการทำงานของหัวใจยังปกติ อีกทั้งขั้นตอนของการตรวจยังสามารถทำได้ง่าย ไม่ซับซ้อน และไม่จำเป็นต้องนั่งรอผลตรวจนาน
การทราบปริมาณไขมันในร่างกาย จะช่วยให้ตั้งเป้าหมายในการควบคุมน้ำหนักได้ดียิ่งขึ้น ทั้งปัจจัยต่างๆ การควบคุมอาหาร กิจกรรมในแต่ละวัน และการจัดโปรแกรมออกกำลังกายให้เหมาะสม โดยปกติ ควรจะวัดเปอร์เซนต์ไขมันเป็นระยะๆ ความถี่ สัปดาห์ละครั้ง หรือ เดือนละครั้ง เพื่อติดตามผลความคืบหน้าในการออกกำลังกาย และจัดโปรแกรมการรับประทานอาหารให้ได้ปริมาณพลังงานและไขมันที่เหมาะสม
% ไขมัน |
น้อย |
ปกติ |
ค่อนข้างสูง |
สูง |
ผู้ชาย |
<10 % |
ตั้งแต่ 10% แต่ <20% |
ตั้งแต่ 20% แต่ <25% |
25% ขึ้นไป |
ผู้หญิง |
<20 % |
ตั้งแต่ 20% แต่ <30% |
ตั้งแต่ 30% แต่ <35% |
35% ขึ้นไป |