การส่องกล้องตรวจทางเดินอาหาร
Home
»
การเตรียมตัวก่อนการรักษา
» การส่องกล้องตรวจทางเดินอาหาร
การส่องกล้องตรวจทางเดินอาหารส่วนบน ( Esophagogastroduodenoscopy )
หมายถึงการส่องกล้องตรวจทางเดินอาหารตั้งแต่ปาก ลำคอ หลอดอาหาร กระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น
โดยทั่วไปจะทำการส่องกล้องตรวจทางเดินอาหารส่วนบนในผู้ป่วยที่มีอาการดังต่อไปนี่
1.โรคกระเพาะอาหาร หมายถึงภาวะที่มีอาการปวด จุก แน่น แสบหรือเสียดที่บริเวณลิ้นปี่ที่สัณนิษฐานว่าจะมีสาเหตุ จากกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น ร่วมกับมีสัญญาณอันตราดังต่อไปนี้
อาเจียนมาก น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ กลืนลำบาก มีเลือดออกในทางเดินอาหาร เช่น อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายดำคล้ายยางมะตอย รักษาแล้วอาการไม่ดีขึ้นหรือมีอาการกลับเป็นซ้ำบ่อย ๆ ในกรณีที่มีความวิตกกังวลมากหรือผู้ป่วยร้องขอ
2.โรคกรดไหลย้อน หมายถึงภาวะที่มีอาการแสบร้อนที่บริเวณหน้าอก อาจมีอาการเรอเปรี้ยวร่วมด้วย
3.ภาวะเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนบน เช่น อาเจียนเป็นเลือดสด ดำคล้ำ หรือมีถ่ายดำเหม็นคาว คล้ายยางมะตอยหรือคล้ายกาละแม
4.ผู้ป่วยโรคตับแข็งทุกราย ควรได้รับการส่องกล้องตรวจเพื่อหาภาวะเส้นเลือดขอดในหลอดอาหาร
ข้อควรปฏิบัติก่อนการส่องกล้องตรวจ • งดน้ำงดอาหารทางปากเป็นเวลาอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง
• หากท่านมีโรคประจำตัวและรับประทานยาประจำอยู่ควรจะปรึกษาแพทย์ว่าควรจะหยุดยาก่อนหรือไม่
• ควรพาญาติมาด้วยทุกครั้งเพราะในบางกรณีท่านอาจได้รับยาที่ทำให้รู้สึกมึนงง
ขั้นตอนในการส่องกล้องตรวจ • ท่านจะได้รับการพ่นยาชาเฉพาะที่ที่บริเวณโพรงคอด้านหลังประมาณ 3 ครั้งห่างกันครั้งละ 5 นาที หลังพ่นยาชาท่านจะมีความรู้สึกชาที่บริเวณโคนลิ้นและมีอาการกลืนน้ำลายลำบาก ซึ่งอาการเหล่านี้จะหายเป็นปกติภายในเวลา 1-2 ชั่วโมงหลังการส่องกล้องตรวจ
• เจ้าหน้าที่จะจัดท่าสำหรับการส่องกล้องตรวจโดยให้ท่านนอนตะแคงซ้ายคล้ายกับการกอดหมอนข้าง
• ส่องกล้องตรวจโดยปกติจะใช้เวลาในการส่องกล้องประมาณ 5-10 นาที ระหว่างที่ทำหัตถการท่านอาจมีความรู้สึกอึดอัดแน่นท้องซึ่งเป็นจากการเป่าลมเพื่อขยายกระเพาะอาหาร ซึ่งเป็นอาการปกติที่พบได้
• หลังส่องกล้องตรวจท่านสามารถรับประทานอาหารได้ถ้าอาการกลืนน้ำลายลำบากหายเป็นปกติแล้ว แนะนำว่าให้ลองดื่มน้ำเย็นก่อนถ้าไม่มีสำลักถึงเริ่มรับประทานอาหารได้ ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มร้อนเพราะอาจเป็นอันตรายได้จากการที่ได้รับยาชาเฉพาะที่
• หลังส่องกล้องตรวจท่านสามารถปฏิบัติกิจวัตรประจำวันได้เป็นปกติ
ภาวะแทรกซ้อน • ในบางรายอาจรู้สึกอึดอัดแน่นท้องหลังการส่องกล้อง ซึ่งอาจเป็นจากการเป่าลมให้กระเพราะอาหารขยายขณะทำการส่องกล้องตรวจ
• เกิดอันตรายต่อ โพรงคอด้านหลัง หลอดอาหาร กระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น โดยอาจพบว่ามีการทะลุของอวัยวะดังกล่าว แต่พบได้น้อยมากประมาณ 0.03 % ในผู้ป่วยกลุ่มนี้อาจต้องได้รับการรักษาโดยการผ่าตัดฉุกเฉิน
• อาจเกิดการสำลักอาหาร น้ำลายหรือกรดในกระเพาะอาหารและเกิดภาวะปอดอักเสบตามมา
• พบภาวะเลือดออกผิดปกติ ซึ่งอาจพบหลังการตัดชิ้นเนื้อตรวจในผู้ป่วยบางราย
การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ (Colonoscopy) หมายถึงการส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ทั้งหมด รวมถึงสำไส้เล็กส่วนปลาย บุคคลที่จะได้รับประโยชน์ในการส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ มีดังนี้
• บุคคลที่มีความผิดปกติของระบบขับถ่าย เช่น ท้องผูกเรื้อรัง ท้องเสียเรื้อรัง (ถ่ายเหลวผิดปกติมาเป็นเวลามากกว่า 4 สัปดาห์) ถ่ายมีมูกปนเลือด หรือมีอาการปวดเบ่งเหมือนถ่ายอุจจาระไม่สุดตลอดเวลา
• บุคคลที่ถ่ายเป็นเลือดสด
• บุคคลที่มีอาการปวดท้องเรื้อรังโดยไม่ทราบสาเหตุ
• บุคคลที่มีญาติเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่
• บุคคลทั่วไปที่อายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป ตรวจเพื่อคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่
การเตรียมตัวก่อนการส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ • ควรรับประทานอาหารอ่อน เช่นข้าวต้มหรือโจ๊ก และควรงดอาหารที่มีกากมาก เช่น ผัก ผลไม้ต่างๆ เป็นเวลา 3 วัน ก่อนทำการส่องกล้องตรวจ
• งดรับประทานอาหารและเครื่องดื่มทุกชนิดหลังเที่ยงคืนในคืนก่อนที่จะมาทำการส่องกล้องตรวจ
• แพทย์จะให้ท่านรับประทานยาระบายหนึ่งวันก่อนที่จะทำการส่องกล้องตรวจ เพื่อเตรียมลำไส้ใหญ่ให้สะอาด ควรรับประทานยาตามที่แพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด เพราะหากลำไส้ใหญ่ไม่สะอาดการส่องกล้องตรวจจะทำไม่ได้
• หากท่านมีโรคประจำตัวหรือรับประทานยาใดเป็นประจำควรจะปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง
• กรุณาพาญาติมาด้วยทุกครั้ง เพราะการส่องกล้องตรวจจำเป็นต้องให้ยาระงับอาการปวดซึ่งอาจทำให้ท่านมีอาการมึนงงหลังการส่องกล้องตรวจได้
• ท่านสามารถกลับบ้านและทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ แต่หากพบว่ามีอาการผิดปกติ เช่น ถ่ายอุจจาระเป็นเลือดให้กลับมาพบแพทย์
• หากท่านมีข้อสงสัยใด ๆ สามารถสอบถามจากแพทย์หรือเจ้าหน้าที่เพิ่มเติมได้
ภาวะแทรกซ้อน • อาการอึดอัดไม่สบายท้องหลังการส่องกล้องตรวจ ซึ่งเป็นจากการเป่าลมเพื่อขยายลำไส้ใหญ่ระหว่างทำการส่องกล้องตรวจ อาการจะค่อย ๆ ดีขึ่น
• อาจพบภาวะลำไส้ใหญ่ทะลุ ซึ่งพบได้ประมาณ 0.5-1% ซึ่งอาจต้องได้รับการรักษาโดยการผ่าตัดฉุกเฉิน
• ภาวะเลือดออก ส่วนมากพบในรายที่จำเป็นต้องได้รับการตัดชิ้นเนื้อ พบได้ประมาณ 1-2 %
• ภาวะแพ้ยาแก้ปวดที่ให้ระหว่างการส่องกล้องตรวจ ผู้ป่วยอาจมีอาการหน้ามืด แน่นหน้าอก หายใจไม่ออก หัวใจเต้นช้าลงและมีความดันโลหิตต่ำได้
การส่องกล้องตรวจท่อทางเดินน้ำดีและตันอ่อน (Endoscopic Retrograde Cholangio-Pancreatograpy:ERCP) เป็นหัตถการที่แพทย์ใช้กล้องส่องตรวจลำไส้เล็กส่วนต้น ทำการตรวจวินิจฉัยกายวิภาคของท่อทางเดินน้ำดีและตับอ่อน ปัจจุบันสามารถทำการผ่าตัดรักษาโดยผ่านกล้อง เช่น การผ่าตัดเปิดปากท่อน้ำดี การคล้องนิ่วออกจากท่อน้ำดีและตับอ่อน การสลายนิ่ว การขบนิ่ว การใส่ท่อระบายน้ำดีหรือตับอ่อนในกรณีที่มีการอุดตันจากการตีบแคบหรือจากมะเร็ง เป็นต้น
สำหรับข้อบ่งชี้ในการส่องกล้องตรวจท่อทางเดินน้ำดีและตับอ่อน หลัก ๆ มีดังนี้
• สงสัยท่อทางเดินน้ำดีหรือตับอ่อนอุดตัน ไม่ว่าจะป็นจากนิ่ว หรือเนื้องอก เป็นต้น
• สงสัยการทำงานผิดปกติของหูรูดของท่อน้ำดีร่วมทำงานผิดปกติ
• สงสัยมะเร็งท่อทางเดินน้ำดี
• สงสัยภาวะแทรกซ้อนหลังการผ่าตัดถุงน้ำดีหรือท่อทางเดินน้ำดี เช่น ท่อน้ำดีรั่ว/ฉีกขาดหรืออุดตัน
การตรวจด้วยวิธีนี้ส่วนใหญ่จะประสบความสำเร็จ แต่ในบางรายก็ไม่ประสบความสำเร็จ จำเป็นต้องทำซ้ำหรือต้องเปลี่ยนวิธีตรวจรักษาเป็นวิธีอื่น เช่น ผ่าตัด
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจพบได้มีดังนี้ 1.เลือดออก เป็นภาวะแทรกที่พบบ่อยที่สุด แต่ส่วนใหญ่เลือดจะออกไม่มาก มีเพียง 0.4 -2% ที่ตกเลือดมากจนเป็นอันตรายแก่ชีวิตและอาจจำเป็นต้องได้รับการรักษาโดยการผ่าตัด
2.อันตรายต่อทางเดินน้ำดี หรือตับอ่อน เช่น ทางเดินน้ำดีละตับอ่อนทะลุหรือฉีกขาด จำเป็นต้องผ่าตัดฉุกเฉิน
3.ตับอ่อนอักเสบหลังการส่องกล้อง พบได้ 0.5-6.7% ส่วนมากอาการไม่รุนแรงและหายเป็นปกติ แต่ในบางรายเกิดอาการรุนแรงและมีรายงานการเสียชีวิต
4.การติตเชื้อในท่อทางเดินน้ำดี สามารถป้องกันได้โดยกรให้ยาปฏิชีวนะก่อนทำการส่องกล้องตรวจ
5.การแพ้ยาหรือเกิดผลข้างเคียงของยาที่ได้รับขณะทำการส่องกล้องตรวจ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน หายใจช้า ความดันโลหิตต่ำ หัวใจเต้นช้า หรือแพ้สารทึบแสง ซึ่งอาจเป็นอันตรายแก่ชีวิต
6.อันตรายต่อทางเดินอาหารส่านต้น เช่น หลอดอาหาร/กระเพาะอาหาร/ลำไส้เล็กส่วนต้นทะลุหรือฉีกขาด อาจจำเป็นต้องผ่าตัดฉุกเฉิน
7.อุปกรณ์ที่ใช้ทำการรักษาผ่านกล้อง เช่นตะกร้อคล้องนิ่วหรือขบนิ่วอาจติดอยู่ในท่อน้ำดี หากเกิดกรณีนี้จำเป็นที่จะต้องผ่าตัดเปิดท่อทางเดินน้ำดีเพื่อที่จะนำอุปกรณ์ที่ติดค้างออก
ภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่อาจพบได้หากผู้ป่วยมีโรคประจำตัว เช่น หลอดลมอุดตัน หรือกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันอาจเสียชีวิตได้
ข้อควรปฏิบัติก่อนการส่องกล้องตรวจ • งดน้ำงดอาหารทางปากเป็นเวลาอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง
• หากท่านมีโรคประจำตัวและรับประทานยาประจำอยู่ควรจะปรึกษาแพทย์ว่าควรจะหยุดยาก่อนหรือไม่
• ควรพาญาติมาด้วยทุกครั้งเพราะในบางกรณีท่านอาจได้รับยาที่ทำให้รู้สึกมึนงง
• หลังส่องกล้องตรวจจะต้องนอนโรงพยาบาล 1 วันเพื่อสังเกตภาวะแทรกซ้อน หากไม่พบความผิดปกติ
ก็จะได้กลับบ้านในวันรุ่งขึ้น