หัวใจเต้นผิดจังหวะ (Cardiac arrhythmia)

 หน้าแรก
» ความรู้สุขภาพและบทความแพทย์ » หัวใจเต้นผิดจังหวะ (Cardiac arrhythmia) แบ่งปันไปยัง facebook

หัวใจเต้นผิดจังหวะ (Cardiac arrhythmia)

คือ ภาวะที่มีการก่อกำเนิดสัญญาณไฟฟ้าหัวใจ หรือมีการนำสัญญาไฟฟ้าภายในห้องหัวใจผิดปกติ ซึ่งส่งผลให้เกิดภาวะหัวใจเต้นเร็ว เต้นช้าหรือเต้นไม่สม่ำเสมอ

อาการของโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ

  1) ใจสั่น ใจเต้นแรง ใจเต้นเร็ว

  2) เหนื่อยง่าย หายใจหอบ อ่อนเพลีย เหงื่อออกมาก

  3) เจ็บหน้าอก

  4) หน้ามืด ตาลาย วูบ เป็นลมหมดสติ

  5) หัวใจหยุดเต้นหรือตรวจพบโดยบังเอิญ

  6)ไม่มีอาการหรือตรวจพบโดยบังเอิญ

Tip-1: อาการที่พบในภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ อาจเกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานหรือเป็นๆหายๆได้ ซึ่งในผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการเป็นระยะเวลาสั่นๆ เช่น น้อยกว่า 10 วินาที่ก็ได้

Tip-2: ในผู้ป่วยบางรายอาจไม่แน่ใจในอาการที่รู้สึกหรืออาการแต่ละครั้งแตกต่างกันออกไป ถ้าสงสัยว่าอาจมีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะก็ควรรีบไปปรึกษาแพทย์ชนะ

ประเภทของหัวใจเต้นผิดจังหวะ

  1) ภาวะหัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ (Tachycardia) คือ การที่อัตราการเต้นของหัวใจหรือชีพจรมากกว่า 100 ครั้งต่อนาทีในขณะพักซึ่งพบได้หลายชนิด ได้แก่ Supraventricular tachycardia (SVT), Ventricular tachycardia (VT), Ventricular fibrillation (VF)

  2) ภาวะหัวใจเต้นช้ากว่าปกติ (Bradycardia) คือ การที่อัตราการต้นของหัวใจหรือชีพจรน้อยกว่า 60 ครั้งต่อนาทีในขณะตื่น ซึ่งพบได้หลายชนิด ได้แก่ Atrioventricular block (AV block), Sinus node dysfunction หรือ Sick sinus syndrome (SSS)

  3) ภาวะหัวใจเต้นไม่สม่ำเสมอ (Irregular cardiac rhythm) พบได้หลายชนิด ได้แก่ Premature ventricular contraction (PVC), Atrial fibrillation (AF)

Tip-3: ในผู้ป่วยแต่ละรายอาจมีภาวะหัวใจเต้นผิดปกติหลายชนิดพร้อมกัน ซึ่งหัวใจเต้นผิดปกติแต่ละชนิดอาจก่อให้เกิดอาการหรือความรู้สึกที่เหมือนหรือแตกต่างกันก็ได้ ฉะนั้นการติดตามการรักษาจึงต้องใช้การติดตามอาการ การตรวจเพิ่มเติมและการตรวจประเมินผลการรักษาเป็นระยะ

สาเหตุของภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ

  1) ภาวะที่เป็นมาแต่กำเนิดหรือเป็นโรคทางพันธุกรรม เช่น Wolff-Parkinson-White syndrome (WPW syndrome), Brugada syndrome (โรคไหลตาย)

  2) ภาวะที่เกิดขึ้นมาภายหลัง ซึ่งอาจส่งผลต่อการทำงานของหัวใจ ได้แก่

  • เกลือแร่ในเลือดผิดปกติ เช่น โพเเทสเซียม แคลเซียม แมกนีเซียม
  • ระดับฮอร์โมนผิดปกติ เช่น ไทรอยด์เป็นพิษ
  • ความผิดปกติของระดับก๊าซในเลือดหรือความผิดปกติของระดับความเป็นกรดด่างของเลือด เช่น ระดับออกซิเจนในเลือดต่ำหรือเลือดเป็นกรด
  • อุณหภูมิในร่างกายผิดปกติ เช่น มีไข้หรือติดเชื้อ
  • ระดับความดันในหลอดเลือดผิดปกติ เช่น ความดันสูง ความดันดำหรือภาวะช็อค
  • เหล้า สุรา สารเสพติด สารพิษหรือยาบางชนิด
  • อุบัติเหตุ การถูกทำร้าย กระแสไฟฟ้าหรือกัมมันตภาพรังสี โดยเฉพาะบริเวณทรวงอก
  • พบร่วมกับโรคหัวใจชนิดต่างๆ เช่น โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด ผนังหัวใจรั่ว หลอดเลือดแดงของหัวใจตีบตัน ลิ้นหัวใจรั่วหรือตีบ กล้ามเนื้อหัวใจหนาแต่กำเนิด กล้ามเนื้อหัวใจทำงานผิดปกติ โรคเยื่อหุ้มหัวใจผิดปกติหรือมีภาวะอักเสบติดเชื้อที่ลิ้นหัวใจ กล้ามเนื้อหัวใจหรือเยื่อหุ้มหัวใจ
  • การเสื่อมชราหรือการลดการทำงานของเซลล์หัวใจ

Tip-4: ผู้ป่วยแต่ละรายอาจมีสาเหตุของโรค ปัจจัยกระตุ้น โรคร่วมที่แตกต่างกัน โดยปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ควรได้รับการสืบค้น ติดตามและแก้ไขระหว่างเข้ารับการตรวจรักษาด้วย

การวินิจฉัยภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ

          การตรวจสืบค้นหรือวินิจฉัยภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะสามารถทำได้หลายวิธี แต่โอกาสที่จะตรวจพบในผู้ป่วยแต่ละรายอาจมีความแตกต่างกันได้ เนื่องจากตัวโรคอาจมีความถี่ในการเกิดน้อย เช่น เป็นโรคที่มีอาการไม่บ่อยหรือช่วงเวลาที่เกิดไม่ชัดเจนหรือเป็นโรคที่ไม่มีปัจจัยการเกิดหรือไม่มีตัวกระตุ้นที่ชัดเจน ซึ่งปัจจัยต่างๆเหล่านี้อาจมีผลทำให้ตรวจไม่พบความผิดปกติ อาจมีการตรวจซ้ำหลายครั้งหรือต้องตรวจหลายวิธี เป็นต้น โดยการตรวจที่ใช้บ่อยๆ ได้แก่

1) การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiography หรือ ECG) เป็นการตรวจที่มีประโยชน์มาก สามารถตรวจในระหว่างที่มีอาการหรือไม่มีอาการก็ได้ สามารถให้ข้อมูลทั้งอัตราการเต้นของหัวใจ (Heart rate) หรือจังหวะการเต้นของหัวใจ (Cardiac rhythm) โดยสามารถทำการตรวจได้หลายวิธี เช่น

  - 12-lead ECG:ใช้เวลาในการตรวจสั้น สามารถตรวจได้ที่โรงพยาบาลทั่วไปและราคาไม่แพง

  - EKG monitoring: เป็นการตรวจบันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจขณะที่นอนอยู่ในโรงพยาบาล

  - 24-hours Holter ECG: เป็นเครื่องบันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจชนิดพกพา โดยหลังการติดเครื่องแล้วเครื่องจะทำการบันทึก คลื่นไฟฟ้าหัวใจไว้ตลอดเวลา ผู้ป่วยสามารถทำกิจวัตรได้ตามปกติ สามารถนำกลับบ้านได้และนำเครื่องมาคืนเพี่ออ่านผลหลังจากครบกำหนดเวลาที่บันทึกแล้ว

  - Event recorder: เป็นอุปกรณ์พกพาเพี่อบันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจ โดยขณะที่เกิดอาการผิดปกติ ผู้ป่วยจะต้องทำการบันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจตามคำแนะนำ และนำเครื่องมาคืนเพื่อรับการอ่านผล

  - Implantable loop recorder (ILD): เป็นอุปกรณ์ที่ผู้ป่วยต้องมีการผ่าตัดเพื่อทำการติดตั้งไว้ เหมาะสำหรับผู้ป่วยบางประเภท เช่น หมดสติหรือเป็นลมซ้ำซาก อาการเกิดไม่บ่อยหรือไม่สามารถหาสาเหตุของอาการได้ชัดเจน

2) การตรวจนับชีพจร(Pulse) เป็นการตรวจที่ไม่ยากและสามารถทำได้ตลอดเวลา โดยจะให้ข้อมูลเบื้องต้น เช่น อัตราเร็วของชีพจร(ครั้งต่อนาที) ลักษณะชีพจร เช่น สม่ำเสมอหรือไม่สม่ำเสมอ โดยสามารถทำการตรวจได้หลายวิธี เช่น

  - คลำและนับชีพจรบริเวณข้อมือหรือบริเวณคอ

  - ตรวจวัดจากเครื่องวัดความดันชนิดดิจิตอล (Digital sphygmomanometer)

  - ตรวจวัดจากเครื่องวัดปริมาณออกซิเจน (Pulse oximeter)

  - ตรวจด้วยอุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์ต่างๆ เช่น นาฬิกาดิจิตอล โทรศัพท์ชนิดสมาร์ทโฟน

3) การตรวจทางสรีรวิทยาไฟฟ้าหัวใจ (Electrophysiology study หรือ EP study) เป็นการตรวจเพื่อใช้ในการวินิจฉัยภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ช่วยในการประเมินความเสียงของโรคหรือประเมินผลการรักษา โดยในขั้นตอนการตรวจนั้นจะมีการใส่สายวัดสัญญาณไฟฟ้าหัวใจจำนวน 3-4 เส้น ผ่านทางหลอดเลือดดำที่ขาหนีบหรือที่คอเพื่อทำการบันทึกสัญญาณไฟฟ้าหัวใจห้องบน ห้องล่าง หลอดเลือดดำโคโรนารี่(Coronary sinus)และบริเวณ AV node โดยระหว่างทำการตรวจจะมีการตรวจกระตุ้นเพื่อทำการวัดความสามารถในการกำเนิดไฟฟ้า การนำไฟฟ้า การส่งต่อสัญญาณไฟฟ้าและการกำเนิดของสัญญาณการเต้นของหัวใจที่ผิดปกติ โดยภายหลังการตรวจวิเคราะห์จนเสร็จสมบูรณ์แล้ว หากผู้ป่วยมีภาวะหัวใจเต้นเร็วก็สามารถทำการจี้ไฟฟ้าหัวใจ(Radiofrequency catheter ablation RFCA) เพื่อรักษาให้หายขาดได้

Tip-5: การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจและไม่พบความผิดปกติใดๆในขณะที่ผู้ป่วยหายจากอาการใจสั่นแล้ว อาจไม่สามารถสรุปได้ว่าผู้ป่วยไม่ได้เป็นโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ

การรักษาภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ

          การรักษาภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะสามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นกับชนิดของโรค ความรุนแรง สาเหตุการเกิด ปัจจัยกระตุ้น อาชีพและกิจกรรมการใช้ชีวิตของผู้ป่วย โดยสามารถแบ่งได้เป็น

  1. การรักษาหัวใจเต้นเร็ว (Tachycardia) เช่น รักษาด้วยยา ลดปัจจัยกระตุ้นการกำเริบของโรค จี้ไฟฟ้าหัวใจ ใส่เครื่องกระตุกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ (Automatic implantable cardioverter-defibrillator; AICD)
  2. การรักษาหัวใจเต้นช้า (Bradycardia) เช่น หยุดหรือลดปัจจัยที่กระตุ้นการเกิดโรค ใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker)
  3. การรักษาหัวใจเต้นไม่สม่ำเสมอ (Irregular cardiac rhythm) เช่น รักษาด้วยยา จี้ไฟฟ้าหัวใจ

Tip-6: การรักษาในผู้ป่วยแต่ละราย อาจมีแนวทางหรือทางเลือกของการรักษาได้หลายวิธี ผู้ป่วยควรได้รับคำแนะนำ เพื่อสามารถเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับตนเอง โดยได้รับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านโรคหัวใจ

 

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้
เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ แสดงเนื้อหาและโฆษณาให้ตรงกับความสนใจ รวมถึงเพื่อวิเคราะห์การเข้าใช้งานเว็บไซต์และทำความเข้าใจว่าผู้ใช้งานมาจากที่ใด
คุณสามารถอ่านและทำความเข้าใจได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัวและข้อกำหนดในการให้บริการ