ในฐานะหมอภูมิแพ้เด็กมาเกือบ 10 ปี ทำให้หมอได้รู้ว่าโรคภูมิแพ้ในเด็กซึ่งเป็นโรคที่คุณพ่อคุณแม่น่าจะเข้าใจกันเป็นอย่างดี แต่เอาเข้าจริงๆแล้วยังมีความเข้าใจบางอย่างที่คลาดเคลื่อนอยู่ หมอจึงเขียนบทความนี้ขึ้นมาเพื่อช่วยให้คุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกเป็นโรคภูมิแพ้หรือสงสัยว่าจะเป็นโรคภูมิแพ้เข้าใจธรรมชาติของโรคภูมิแพ้มากขึ้นครับ
1.โรคภูมิแพ้ต้องมีตัวกระตุ้น โรคภูมิแพ้เกิดจากการที่ร่างกายของเราตอบสนองต่อตัวกระตุ้นมากเกินไปจนทำให้เกิดอาการต่างๆเช่น ถ้าเราแพ้ไรฝุ่นเพียงสูดเข้าไปก็คัด คันจมูก จาม น้ำมูกไหลได้แล้ว แถมบางคนหอบเลยด้วยซ้ำ ส่วนตัวกระตุ้นก็มีหลายอย่างครับเช่น ไรฝุ่น แมลงสาบ ขนสัตว์ เกสรพืช ส่วนอะไรคือตัวกระตุ้นนั้นคงต้องอาศัยการซักประวัติและตรวจร่างกาย อาจใช้การเจาะเลือดหรือการทดสอบที่ผิวหนังช่วยหาคำตอบด้วย
2.โรคภูมิแพ้ไม่ใช่โรคติดต่อ อย่างที่บอกไปในข้อแรก โรคนี้เกิดจากร่างกายของเราที่ไวเองดังนั้นจึงไม่ติดต่อหรือแพร่ให้คนอื่น แต่ในปัจจุบันคนไทยเราเป็นโรคนี้กันมากขึ้นอาจเป็นเพราะการใช้ชีวิต lifestyle เหมือนชาติตะวันตกมากขึ้น ความเจริญก้าวหน้าทางการแพทย์ที่สามารถวินิจฉัยโรคได้มากขึ้นก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราพบโรคภูมิแพ้ได้บ่อยขึ้นเช่นกัน
3.พ่อแม่เป็นภูมิแพ้ลูกก็เสี่ยงมากขึ้น ตรงไปตรงมาครับถ้าพ่อหรือแม่เป็นโรคภูมิแพ้ลูกที่เกิดมาก็เสี่ยงที่จะเป็นไปด้วย แต่ย้ำนะครับว่าเป็นแค่ความเสี่ยงดังนั้นลูกที่เกิดจากพ่อแม่ที่เป็นภูมิแพ้อาจไม่จำเป็นต้องเป็นโรคภูมิแพ้ตามก็ได้ ถ้าจะจำกันง่ายๆก็ตามนี้ครับ พ่อ/แม่คนใดคนหนึ่งลูกมีความเสี่ยงประมาณ 50%, พ่อและแม่เป็นทั้งคู่ลูกมีความเสี่ยงประมาณ 80%, พ่อและแม่ไม่เป็นลูกมีความเสี่ยงประมาณ 10%
4.ประวัติตรวจร่างกายสำคัญที่สุด การวินิจฉัยโรคภูมิแพ้ก็เหมือนโรคอื่นๆครับ ต้องอาศัยการซักประวัติและตรวจร่างกายโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญถึงจะตอบได้ว่าตกลงแพ้ไม่แพ้ แล้วไอ้ที่แพ้นี่แพ้อะไร ดังนั้นอย่าเพิ่งใจร้อนให้คุณหมอฟันธงมาเลยนะครับ
5.การทดสอบภูมิแพ้ไม่ใช่ตัวตัดสินสุดท้าย การทดสอบภูมิแพ้เป็นแค่ตัวช่วยยืนยันการวินิจฉัยนะครับ ไม่ใช่ตัวที่จะตัดสินว่าลูกจะแพ้สิ่งนี้หรือเปล่าถ้าประวัติกับผลการทดสอบขัดแย้งกันจะขึ้นกับคุณหมอที่ดูแลว่าจะทำยังไงต่อไป อาจตรวจอย่างอื่นเพิ่มหรือรักษาไปเลยเช่น สงสัยว่าแพ้นมวัวประวัติเหมือนมาก แต่ผล lab ออกมาบอกว่าไม่แพ้คุณหมออาจพิจารณรงค์ให้หยุดนมวัวและผลิตภัณฑ์จากนมวัวแล้วดูว่าอาการหายไปไหม
6.การหลีกเลี่ยงตัวกระตุ้นคือการรักษาที่ดีที่สุด ตัวกระต้นหรือตัวที่เราแพ้คือสาเหตุของอาการทั้งหมด ดังนั้นถ้าเราหลีกเลี่ยงหรือกำจัดตัวกระตุ้นร่างกายเราก็ไม่ถูกกระตุ้น พอไม่ถูกกระตุ้นก็ไม่มีอาการหรือสามารถคุมอาการได้ พอไม่มีอาการก็สามารถลดหรือหยุดยาที่ใช้อยู่ได้ คุณพ่อคุณแม่ที่พาลูกมาตรวจกับหมอมักถามเสมอว่าจะต้องทานนานยาแค่ไหน ทำยังไงถึงจะหยุดยาได้ หมอตอบกลับไปเสมอครับว่าถ้าหลีกเลี่ยงตัวกระตุ้น ได้ก็ลดยาได้
7.การปฏิบัติตัวตามคำแนะนำทำให้คุมอาการของโรคได้ การรักษาโรคภูมิแพ้ให้ได้ผลดี คุณพ่อคุณแม่จะต้องเข้าใจและทำตามคำแนะนำการหลีกเลี่ยงตัวกระตุ้นและใช้ยาอย่างสม่ำเสมอ อันนี้เป็นหัวใจสำคัญของการรักษาเลยครับ คุณพ่อคุณแม่บางท่านไม่ยอมใช้ยาอย่างต่อเนื่อง ทานบ้าง หยุดบ้าง อาการของลูกก็คุมไม่ได้ ยิ่งทำให้หยุดยาหรือลดยาช้าลงไปอีกครับ
ในฐานะหมอภูมิแพ้เด็กมาเกือบ 10 ปี ทำให้หมอได้รู้ว่าโรคภูมิแพ้ในเด็กซึ่งเป็นโรคที่คุณพ่อคุณแม่น่าจะเข้าใจกันเป็นอย่างดี แต่เอาเข้าจริงๆแล้วยังมีความเข้าใจบางอย่างที่คลาดเคลื่อนอยู่ หมอจึงเขียนบทความนี้ขึ้นมาเพื่อช่วยให้คุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกเป็นโรคภูมิแพ้หรือสงสัยว่าจะเป็นโรคภูมิแพ้เข้าใจธรรมชาติของโรคภูมิแพ้มากขึ้นครับ
1.โรคภูมิแพ้ต้องมีตัวกระตุ้น โรคภูมิแพ้เกิดจากการที่ร่างกายของเราตอบสนองต่อตัวกระตุ้นมากเกินไปจนทำให้เกิดอาการต่างๆเช่น ถ้าเราแพ้ไรฝุ่นเพียงสูดเข้าไปก็คัด คันจมูก จาม น้ำมูกไหลได้แล้ว แถมบางคนหอบเลยด้วยซ้ำ ส่วนตัวกระตุ้นก็มีหลายอย่างครับเช่น ไรฝุ่น แมลงสาบ ขนสัตว์ เกสรพืช ส่วนอะไรคือตัวกระตุ้นนั้นคงต้องอาศัยการซักประวัติและตรวจร่างกาย อาจใช้การเจาะเลือดหรือการทดสอบที่ผิวหนังช่วยหาคำตอบด้วย
2.โรคภูมิแพ้ไม่ใช่โรคติดต่อ อย่างที่บอกไปในข้อแรก โรคนี้เกิดจากร่างกายของเราที่ไวเองดังนั้นจึงไม่ติดต่อหรือแพร่ให้คนอื่น แต่ในปัจจุบันคนไทยเราเป็นโรคนี้กันมากขึ้นอาจเป็นเพราะการใช้ชีวิต lifestyle เหมือนชาติตะวันตกมากขึ้น ความเจริญก้าวหน้าทางการแพทย์ที่สามารถวินิจฉัยโรคได้มากขึ้นก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราพบโรคภูมิแพ้ได้บ่อยขึ้นเช่นกัน
3.พ่อแม่เป็นภูมิแพ้ลูกก็เสี่ยงมากขึ้น ตรงไปตรงมาครับถ้าพ่อหรือแม่เป็นโรคภูมิแพ้ลูกที่เกิดมาก็เสี่ยงที่จะเป็นไปด้วย แต่ย้ำนะครับว่าเป็นแค่ความเสี่ยงดังนั้นลูกที่เกิดจากพ่อแม่ที่เป็นภูมิแพ้อาจไม่จำเป็นต้องเป็นโรคภูมิแพ้ตามก็ได้ ถ้าจะจำกันง่ายๆก็ตามนี้ครับ พ่อ/แม่คนใดคนหนึ่งลูกมีความเสี่ยงประมาณ 50%, พ่อและแม่เป็นทั้งคู่ลูกมีความเสี่ยงประมาณ 80%, พ่อและแม่ไม่เป็นลูกมีความเสี่ยงประมาณ 10%
4.ประวัติตรวจร่างกายสำคัญที่สุด การวินิจฉัยโรคภูมิแพ้ก็เหมือนโรคอื่นๆครับ ต้องอาศัยการซักประวัติและตรวจร่างกายโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญถึงจะตอบได้ว่าตกลงแพ้ไม่แพ้ แล้วไอ้ที่แพ้นี่แพ้อะไร ดังนั้นอย่าเพิ่งใจร้อนให้คุณหมอฟันธงมาเลยนะครับ
5.การทดสอบภูมิแพ้ไม่ใช่ตัวตัดสินสุดท้าย การทดสอบภูมิแพ้เป็นแค่ตัวช่วยยืนยันการวินิจฉัยนะครับ ไม่ใช่ตัวที่จะตัดสินว่าลูกจะแพ้สิ่งนี้หรือเปล่าถ้าประวัติกับผลการทดสอบขัดแย้งกันจะขึ้นกับคุณหมอที่ดูแลว่าจะทำยังไงต่อไป อาจตรวจอย่างอื่นเพิ่มหรือรักษาไปเลยเช่น สงสัยว่าแพ้นมวัวประวัติเหมือนมาก แต่ผล lab ออกมาบอกว่าไม่แพ้คุณหมออาจพิจารณรงค์ให้หยุดนมวัวและผลิตภัณฑ์จากนมวัวแล้วดูว่าอาการหายไปไหม
6.การหลีกเลี่ยงตัวกระตุ้นคือการรักษาที่ดีที่สุด ตัวกระต้นหรือตัวที่เราแพ้คือสาเหตุของอาการทั้งหมด ดังนั้นถ้าเราหลีกเลี่ยงหรือกำจัดตัวกระตุ้นร่างกายเราก็ไม่ถูกกระตุ้น พอไม่ถูกกระตุ้นก็ไม่มีอาการหรือสามารถคุมอาการได้ พอไม่มีอาการก็สามารถลดหรือหยุดยาที่ใช้อยู่ได้ คุณพ่อคุณแม่ที่พาลูกมาตรวจกับหมอมักถามเสมอว่าจะต้องทานนานยาแค่ไหน ทำยังไงถึงจะหยุดยาได้ หมอตอบกลับไปเสมอครับว่าถ้าหลีกเลี่ยงตัวกระตุ้น ได้ก็ลดยาได้
7.การปฏิบัติตัวตามคำแนะนำทำให้คุมอาการของโรคได้ การรักษาโรคภูมิแพ้ให้ได้ผลดี คุณพ่อคุณแม่จะต้องเข้าใจและทำตามคำแนะนำการหลีกเลี่ยงตัวกระตุ้นและใช้ยาอย่างสม่ำเสมอ อันนี้เป็นหัวใจสำคัญของการรักษาเลยครับ คุณพ่อคุณแม่บางท่านไม่ยอมใช้ยาอย่างต่อเนื่อง ทานบ้าง หยุดบ้าง อาการของลูกก็คุมไม่ได้ ยิ่งทำให้หยุดยาหรือลดยาช้าลงไปอีกครับ
ลงทะเบียน เพื่อรับคำปรึกษา
ท่านสามารถกรอกแบบฟอร์ม เพื่อติดต่อเจ้าหน้าที่
(กรณีเร่งด่วน กรุณาโทรศัพท์ติดต่อไปยังสาขาที่ท่านต้องการ เพื่อความสะดวกรวดเร็วค่ะ)